จะทำอย่างไร หากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมของคุณทำงานเกินกำลัง?
ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าร้อนแล้วนะคะ บางคนอาจจะมีแพลน ตัดหรือลดอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัดผมใหม่ ตัดเสื้อผ้าใหม่ ตัดแต่งต้นไม้ หรือแม้แต่ การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในส่วนต่างๆ ออกไป
ใน
ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าร้อนแล้วนะคะ บางคนอาจจะมีแพลน ตัดหรือลดอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัดผมใหม่ ตัดเสื้อผ้าใหม่ ตัดแต่งต้นไม้ หรือแม้แต่ การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในส่วนต่างๆ ออกไป
ใน
ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าร้อนแล้วนะคะ บางคนอาจจะมีแพลน ตัดหรือลดอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัดผมใหม่ ตัดเสื้อผ้าใหม่ ตัดแต่งต้นไม้ หรือแม้แต่ การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในส่วนต่างๆ ออกไป
ใน
ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าร้อนแล้วนะคะ บางคนอาจจะมีแพลน ตัดหรือลดอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัดผมใหม่ ตัดเสื้อผ้าใหม่ ตัดแต่งต้นไม้ หรือแม้แต่ การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในส่วนต่างๆ ออกไป
ในระบบอัดอากาศเอง ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานถือเป็นต้นทุนหลักในกระบวนการผลิต ผู้ใช้งานระบบอัดอากาศหลายท่านจึงพยายามหาวิธีลดต้นทุนในส่วนนี้ แอตลาส คอปโก้ เองในฐานะที่เป็นผู้นำระบบอัดอากาศ จึงคิดค้นหาโซลูชั่นเพื่อลดการใช้พลังงานในระบบอัดอากาศ แต่จะช่วยได้อย่างไร มาดูกันเลย!
หากคุณกำลังเผชิญปัญหากำลังการผลิตลมอัดไม่เพียงพออยู่ ยิ่งเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลม (air compressor) ผลิตอากาศอัดเกินกำลังมากๆ ก็อาจทำให้เปลืองไฟได้ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย แต่คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการเพิ่มจำนวนปั๊มลมในระบบอัดอากาศ
ลองคิดดูสิ คนเราโดยปกติแล้วหากต้องการให้งานออกมาดี มีประสิทธิภาพ ควรจำกัดชั่วโมงการทำงานไม่เกิน 8 ชม./วัน หากมากกว่านั้นงานที่ได้อาจจะไม่มีประสิทธิภาพ หรือหากคุณทำงานไม่ทันก็จำเป็นต้องมีเพื่อนมาช่วยแบ่งเบา เพื่อให้งานเสร็จทันเวลา เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมก็เช่นเดียวกัน หากทำงานเกินกำลังก็อาจจะผลิตลมอัดได้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
การปรับปรุงเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลม (air compresor)?
การปรับปรุงระบบอัดอากาศ โดยการเพิ่มจำนวนปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) เพื่อเสริมการทำงานใหระบบอัดอากาศสามารถผลิตลมอัดออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศตัวแรกทำงานสูงสุดเต็มกำลัง การมีเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมอีกเครื่องมาแบ่งเบาภาระ เมื่อมีการผลิตที่แตกต่างกันระหว่างกะ เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลม (air compressor) จะผลัดกันผลิตลมอัด ทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลม (air compressor) ทั้งสองตัวทำงานไม่หนักเกินไปเมื่อมีความต้องการลมอัดที่เพิ่มขึ้นและผลิตลมอัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานทำได้อย่างไรบ้าง?
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) ทำให้สามารถปรับความเร็วรอบในการทำงานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอากาศอัดแบบเรียลไทม์ โดยใช้จะเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ให้กลับมาเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) และเก็บไว้ในไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) จากนั้นเราจะสามารถดึงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) ที่อยู่ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) ออกมาใช้ Variable Speed Drive หรือเทคโนโลยี VSD จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานโดยการปรับความเร็ว (RPM) ใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) ทำให้สามารถปรับความเร็วรอบในการทำงานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอากาศอัดแบบเรียลไทม์ โดยใช้จะเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ให้กลับมาเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) และเก็บไว้ในไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) จากนั้นเราจะสามารถดึงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) ที่อยู่ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) ออกมาใช้ Variable Speed Drive หรือเทคโนโลยี VSD จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานโดยการปรับความเร็ว (RPM) ใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) ทำให้สามารถปรับความเร็วรอบในการทำงานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอากาศอัดแบบเรียลไทม์ โดยใช้จะเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ให้กลับมาเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) และเก็บไว้ในไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) จากนั้นเราจะสามารถดึงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) ที่อยู่ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) ออกมาใช้ Variable Speed Drive หรือเทคโนโลยี VSD จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานโดยการปรับความเร็ว (RPM) ใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) ทำให้สามารถปรับความเร็วรอบในการทำงานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอากาศอัดแบบเรียลไทม์ โดยใช้จะเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ให้กลับมาเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) และเก็บไว้ในไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) จากนั้นเราจะสามารถดึงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) ที่อยู่ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) ออกมาใช้ Variable Speed Drive หรือเทคโนโลยี VSD จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานโดยการปรับความเร็ว (RPM) ใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับ
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) ทำให้สามารถปรับความเร็วรอบในการทำงานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอากาศอัดแบบเรียลไทม์ โดยใช้จะเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ให้กลับมาเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) และเก็บไว้ในไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) จากนั้นเราจะสามารถดึงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) ที่อยู่ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) ออกมาใช้ Variable Speed Drive หรือเทคโนโลยี VSD จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานโดยการปรับความเร็ว (RPM) ใน
หากคุณเป็นผู้ใช้งานระบบอัดอากาศเอง คงจะคุ้นเคยดีว่าการใช้งานอากาศอัดของคุณเป็นอย่างไร มีการใช้งานคงที่สม่ำเสมอหรือมีความผันผวน ทำให้ทราบว่าเราควรปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งานอย่างไรได้บ้าง? ซึ่งการปรับปรุงก็สามารถทำได้หลายวิธีตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละโรงงาน จะวิธีใดบ้าง มาดูกันเลย:
Start/Stop: สิ่งที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการทำงานของระบบอัดอากาศก็คือการ Start/Stop เครื่องโดยการกดปุ่มปิดสวิตซ์การใช้งานเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมไปเลย เพราะหากเรามีการ Start/Stop เครื่องอย่างถูกวิธีจะช่วยคุณสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การผลิตที่ไม่คงที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่วิธีนี้หากใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 30 แรงม้าจำเป็นต้องเพิ่มถังถังเก็บลม (air reciever) เข้ามาในระบบด้วย เพื่อป้องกันการ Start/Stop เครื่องที่บ่อยเกินไป
Load/Unload: การควบคุมสถานะ Load/Unload นั้นไม่เหมือนกับการ Start/Stop เครื่องนะคะ เพราะการ Start/Stop เครื่องคือเรากดปุ่มปิดสวิซส์ไปเลย แต่สถานะ Unload นั้นเปรียบเสมือนกับการที่เราเปิดสวิตซ์เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมทิ้งไว้ มีการกินกระแสไฟฟ้าปกติ แต่ไม่มีการผลิตลมอัดออกมา ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เนื่องจากเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมจะทำงานที่ 0 หรือ 100 เปอร์เซ็นเท่านั้น วิธีแก้ไขคือเราต้องทำให้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสามารถทำงานได้ 5 ขั้นตอนคือทำงานที่สมรรถนะ 0, 25, 50, 75 หรือ 100 เปอร์เซ็น
Inlet Valve Modulation: เราจะปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) เมื่อวาล์วควบคุม (regulating valve) ตรวจจับได้ว่ามีแรงดันขาออก (discharge pressure) มากกว่าที่กำหนด หากแรงดันขาออก (discharge pressure) มากถึง 10 psi แรงดันแบบสัดส่วน (proportional pressure) จะถูกปรับลงหรือทำการปรับวาล์วลมขาเข้า (Inlet Valve) ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาแรงดันตก (pressure drop) และอัตราส่วนการบีบอัดที่เพิ่มขึ้นได้ ตัวควบคุมประเภทนี้ใช้ได้เฉพาะกับเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ส่วนมากจะถูกจำกัดให้ใช้ในช่วง 40 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของสมรรถนะ ุที่กำหนด
VDC: ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) เป็นตัวควบคุมที่ได้รับการออกแบบ inlet ให้เป็นแบบปรับได้ตามความต้องการใช้งานตามกำลังการผลิตที่ผันผวนโดยการเปลี่ยนการกระจัดของโรเตอร์ ซึ่งวิธี Inlet valve modulation และการควบคุม load/unload มักมาพร้อมกับตัวควบคุมแบบ VDC หลังจากมีการใช้ตัวควบคุมโรเตอร์แบบเริ่มต้น ตัวควบคุมแบบ Variable displacement control (VDC) มีสามชนิด ได้แก่ สไลด์วาล์ว (Slide Valve) วาล์วเกลียว (spiral valve) หรือวาล์วหมุน (turn valve) นอกจากนี้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมสกรูชนิดหล่อลื่นด้วยน้ำมัน (Lubricant injected rotary air compressors) ยังสามารถใช้ตัวควบคุมแบบ VDC ในรูปแบบของวาล์วควบคุมขั้นบันได (step control valves) หรือวาล์วก้านสูบ (poppet valves) ซึ่งทั้งสองแบนั้นจำเป็นต้องดูสมรรถนะเป็นเปอร์เซ็นต์อย่างรอบคอบ
VSC: Variable speed control เป็นอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ ที่เราติดตั้งเข้าไปในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) ทำให้สามารถปรับความเร็วรอบในการทำงานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตรงกับความต้องการอากาศอัดแบบเรียลไทม์ โดยใช้จะเปลี่ยนจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ให้กลับมาเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) และเก็บไว้ในไว้ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) จากนั้นเราจะสามารถดึงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC voltage) ที่อยู่ในตัวเก็บประจุไฟฟ้า (Capacitor bank) ออกมาใช้ Variable Speed Drive หรือเทคโนโลยี VSD จึงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานโดยการปรับความเร็ว (RPM) ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (air compressor) แทนที่จะส่งกำลังไปยังเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่ (fixed-speed compressor) โดยตรงที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการใช้งานเป็นเวลานานในช่วงสมรรถนะปานกลางถึงต่ำ
ข้อดีของเทคโนโลยี VSD
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็นเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่ (fixed-speed air compressor) และใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมที่มีเทคโนโลยี VSD เป็นตัวเสริมจะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้มาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับปรุงระบบอัดอากาศ
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็นเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่ (fixed-speed air compressor) และใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมที่มีเทคโนโลยี VSD เป็นตัวเสริมจะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้มาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับปรุงระบบอัดอากาศ
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็นเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่ (fixed-speed air compressor) และใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมที่มีเทคโนโลยี VSD เป็นตัวเสริมจะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้มาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับปรุงระบบอัดอากาศ
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็นเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่ (fixed-speed air compressor) และใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมที่มีเทคโนโลยี VSD เป็นตัวเสริมจะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้มาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับปรุงระบบอัดอากาศ
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็น
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็นเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่ (fixed-speed air compressor) และใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมที่มีเทคโนโลยี VSD เป็นตัวเสริมจะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้มาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับปรุงระบบอัดอากาศ
แต่หากเครื่องทำงานเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ของความจุ เทคโนโลยี VSD อาจจะไม่ได้ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากนัก และเมื่อเครื่องทำงานไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์ของความจุอาจมีราคาสูงกว่าการใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่เสียอีก ด้วยเหตุนี้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบ VSD (Variable Speed Drive Compressor) จึงเหมาะกับการผลิตที่มีความผันผวนวันที่มีความต้องการผลิตช้าลง มีการหยุดพักระหว่างวัน หรือมีการสลับเปลี่ยนกะระหว่างวัน หรือเหมาะอย่างยิ่งหากโรงงานของคุณมีปั๊มลมตั้งแต่สองตัวขึ้นไป โดยตัวแรกอาจเป็นเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบความเร็วคงที่ (fixed-speed air compressor) และใช้เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมที่มีเทคโนโลยี VSD เป็นตัวเสริมจะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้มาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับปรุงระบบอัดอากาศ
การลดต้นทุนด้านพลังงานในระบบอัดอากาศ ด้วยการการปรับปรุงระบบอัดอากาศให้เหมาะกับการใช้งาน นอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องอัดอากาศแล้วยังช่วยลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นอีกด้วย
Atlas Copco เราเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี VSD นวัตกรรมที่ี่เรียบง่ายแต่ช่วยประหยัดพลังงานได้จริงจาก แอตลาส คอปโก้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี VSD ได้ ที่นี่ หรือหากสนใจเทคโนโลยี VSD สามารถปรึกษาหรือสอบถามผู้เชี่ยวชาญของแอตลาส คอปโก้ได้โดยตรงที่ Official Line@: atlascopcothailand หรือช่องทาง Facebook.
เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลม ตัวปรับความเร็วรอบมอเตอร์ VSD Operations เครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลม (Air compressor) ทางเทคนิค งานซ่อมบำรุงและการบริการหลังการขาย